โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ
แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
วว. จักษุวิทยา
ตาแห้งคืออะไร
ตาแห้ง (Dry eye หรือ Xerophthalmia) เป็นภาวะที่ฟิล์มน้ำตา หรือ Tear film (อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบน้ำตา) ที่ฉาบอยู่บริเวณผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา (Ocular surface) มีจำนวนหรือคุณภาพไม่เพียงพอที่จะหล่อลื่นผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา จึงก่อให้ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตาเกิดการระคายเคือง จึงก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ระคายเคืองตา ไม่สบายตา
ตาแห้ง (Dry eye หรือ Xerophthalmia) เป็นภาวะที่ฟิล์มน้ำตา หรือ Tear film (อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบน้ำตา) ที่ฉาบอยู่บริเวณผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา (Ocular surface) มีจำนวนหรือคุณภาพไม่เพียงพอที่จะหล่อลื่นผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา จึงก่อให้ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตาเกิดการระคายเคือง จึงก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ระคายเคืองตา ไม่สบายตา
ในภาวะปกติ
ฟิล์มน้ำตาที่ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตามีด้วยกัน 3 ชั้น จากชั้นนอกสุดไปถึงชั้นในสุด ได้แก่
1. ชั้นไขมัน
สร้างจากต่อมที่เรียกว่า Meibomian gland ที่อยู่ภายในเปลือกตา/หนังตา
2. ชั้นสารน้ำ
สร้างจากต่อมน้ำตาที่เรียกว่า Lacrimal gland
3. ชั้นน้ำเมือก
สร้างจากเซลล์ที่เรียกว่า Globlet cell ในเยื่อบุตาและในกระจกตา
ทั้งนี้ -
หากน้ำตาชั้นไขมันบกพร่อง มักเกิดจากโรคของเปลือกตา/หนังตาที่มีการ เสีย
หายของต่อม Meibomian gland (เช่น ผู้ป่วยโรค Rosacea/โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง โรคเปลือกตา/หนังตาอักเสบเรื้อรัง) ซึ่งเรียกว่า
ภาวะต่อม Meibomian ไม่ทำงาน (Meibomian gland
dysfunction เรียกย่อว่า ภาวะ MGD)
- หากชั้นสารน้ำบกพร่อง
จะเกิดภาวะ Keratoconjunctivitis sicca เรียกย่อว่า ภาวะ KCS
เช่น
·
ในโรค Sjogren
(โรคโอโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งซึ่งมีผลให้ต่อมต่างๆที่มีหน้า
ที่สร้างสารหล่อลื่น/สารน้ำ เสียหายทำงานได้น้อยลง
จึงส่งผลให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อต่างๆแห้งผิด ปกติ)
·
ภาวะต่อมน้ำตาไม่ทำงาน
·
ภาวะตาปิดไม่สนิทจากอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า
·
ตลอดจนโรคเอดส์
- หากขาดน้ำเมือก
มักพบใน
·
ภาวะลูกตาได้รับภยันตรายจากสารเคมี
·
โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง
·
ภาวะขาดวิตามินเอ
·
โรคริดสีดวงตาเรื้อรัง
ตลอดจนจากการแพ้ยาต่างๆที่ทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังรอบ ๆตาร่วมกับเยื่อบุตา
(เช่น โรคสะตีเวนส์จอห์นสัน/Steven’s Johnson syndrome)
ตาแห้งมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง ได้แก่
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง ได้แก่
1. มีการสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ
จากพยาธิสภาพของต่อมต่างๆที่สร้างน้ำตา (อ่านเพิ่มเติมในบทความ
กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ กายวิภาคและสรีรวิทยาของระ บบน้ำตา)
2. ส่วนประกอบของน้ำตาผิดปกติ
เนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วกว่าปกติ ทำให้น้ำ ตาค่อนข้าง Hypertonic
/มีความเข้มข้นมากเกินไป (บางคนใช้คำว่า เค็มเกินไป = too
salt) น้ำตาชนิดนี้จะทำลายปลายประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุตาและกระจกตา
ทำให้ทำงานไม่ได้สมดุล จึงมีการสร้างน้ำตาน้อยลง
3. อายุมากขึ้น
เซลล์ต่อมน้ำตาจะเสื่อมเช่นเดียวกับเซลล์ทุกชนิดของร่างกาย การสร้างน้ำตาจึงน้อยลง
4. เป็นโรคเบาหวาน
เพราะจะส่งผลให้เกิดการอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อของเซลล์ต่อมน้ำตา
จึงสร้างน้ำตาลดลง
5. ทำ
เลสิก (Lasik)
มา ซึ่งการทำ เลสิก จะมีการตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระจกตา (Corneal
nerve) ทำให้ไม่มีตัวกระตุ้นให้สร้างน้ำตา
6. ใช้คอนแทคเลนส์/เลนส์สัมผัส
(Contact
lens) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ ที่มีภาวะตาแห้ง
7. ตาที่ได้รับอุบัติเหตุทำให้หนังตา
ไม่แนบกับผิวลูกตา น้ำตาจึงระเหยได้ง่าย ตาจึงแห้งง่าย
8. การใช้ยาบางชนิดประจำ
เช่น ยาหยอดตารักษาต้อหิน ยารับประทานที่มีฤทธิ์ต้านการทำงานของระบบประสาท (Anticholinergic
drug) รวมทั้งประสาทต่อมน้ำตา จึงลดการสร้างน้ำตา เช่น
ยาลดความดันโลหิต ยาคลายเครียด ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ยารักษาโรคพาร์กินสัน (Parkinson disease) ยาบรรเทาโรคหวัด
ยารักษาโรคภูมิแพ้ในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine) เป็นต้น
ตาแห้งมีอาการอย่างไร
อาการที่เข้ากับโรคตาแห้ง ได้แก่
อาการที่เข้ากับโรคตาแห้ง ได้แก่
·
มีความรู้สึกฝืดในตาเหมือนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง
·
ระคายเคืองตา
·
ไม่สบายตา
เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
·
ตาพร่า แพ้แสง
·
ตามัวลง
·
อาจเห็นภาพๆเดียวซ้อนเป็น 2 ภาพได้
ทั้งนี้
อาการต่างๆที่กล่าวข้างต้น จะเป็นมากขึ้นเมื่อ
·
ใช้สายตามากขึ้น เช่น
อ่านหนังสือ ขับรถ ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือ ดูทีวี
·
อยู่ในสิ่งแวดล้อมบางภาวะ
เช่น ที่มีลมพัดแรง อยู่บนเครื่องบิน อยู่ในห้องแอร์ เป็นต้น
แพทย์วินิจฉัยภาวะตาแห้งได้อย่างไร
ภาวะตาแห้ง
นอกจากก่อให้เกิดอาการไม่สบายตา แสบตา เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้
ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่แล้ว อาจก่อให้เกิดพยาธิสภาพอย่างอื่น เช่น
1. กระจกตาถลอก
ผิวกระจกตาอาจหลุดลอกออกมา ยิ่งก่อให้เกิดความเจ็บ ปวดมากขึ้น
อีกทั้งมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น
2. เนื้อเยื่อชั้นเนื้อเยื่อบุผิว
(Epithelium)
ของเยื่อตา และของกระจกตามีการเปลี่ยนแปลง (Squamous
metaplasia) ผิวลูกตาจะดูไม่สดใส
3. กระจกตาเป็นแผล
เกิดเป็นจุดๆทั่วไป (Punctale keratitis) ซึ่งทำให้เจ็บตา
ตาสู้แสงไม่ได้
4. กระจกตาเป็นแผล
ติดเชื้อต่างๆได้ง่าย (Corneal ulcer)
5. มีหลอดเลือดเกิดใหม่เข้ามายังกระจกตา
(Corneal
neovascularization) ทำให้กระจกตาขุ่นขาว ไม่ใส ทำให้ตาแดง
และตาพร่ามัวลง
6. เมื่อเป็นตาแห้งนานๆเข้า
กระจกตาจะเกิดเป็นแผลเป็น บางลง และบางรายถึงขั้นกระจกตาทะลุได้
รักษาภาวะตาแห้งอย่างไร
แนวทางการรักษาภาวะตาแห้ง
คือ
1. ปรับสิ่งแวดล้อม
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นละออง ควันบุหรี่
ที่เป่าผมไม่ให้ใกล้ตา หลีกเลี่ยงการใช้พัดลม หรือ อยู่ในห้องแอร์นานๆ
หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเครื่องคอมพิวเตอร์
ตลอดจนการใช้แว่นตาที่เหมาะสม
2. รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ
เช่น เปลือกตา/หนังตาอักเสบ ทำให้มีการทำลายต่อม Meibomian ซึ่งหากมีภาวะหนังตาอักเสบ ควรรักษาความสะอาดขอบตา
ลดการใช้ยาต่างๆที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยลง ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น
3. การชดเชยน้ำตา
ด้วย
1. ใช้น้ำตาเทียม ซึ่งอาจเป็นรูปของน้ำใส เป็นเจล หรือ ขี้ผึ้ง
- แบบน้ำใสใช้ง่าย
ไม่ทำให้ตามัว แต่ต้องหยอดบ่อย เพราะยาหมดอย่างรวดเร็ว
- แบบเจล หรือ
ขี้ผึ้งอยู่ในตาได้นานกว่า แต่อาจเหนียวเหนอะหนะ ทำให้ตามัวลงมัก
นิยมใช้ก่อนนอน
นิยมใช้ก่อนนอน
น้ำตาเทียมชนิดใส มี 2 แบบ คือ
- ชนิดมีสารกันเสีย
มักบรรจุในรูปแบบเป็นขวด สามารถใช้ได้นานถึงประมาณ 1 เดือน
- และชนิดรูปแบบที่เป็นกะเปาะ
ไม่มีสารกันเสีย จึงใช้ได้ไม่เกิน 24 ชม. มักทำในรูปกะ
เปาะพลาสติคเล็กๆ มีน้ำตาเทียมอยู่ 4-8 หยด
เปาะพลาสติคเล็กๆ มีน้ำตาเทียมอยู่ 4-8 หยด
ในกรณีตาแห้งมากต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อยเกินวันละ
4 ครั้ง ควรใช้แบบไม่มีสารกันเสีย หาก
ใช้แบบมีสารกันเสียวันละหลายๆหยด ตัวสารกันเสียอาจทำอันตรายต่อผิวกระจกตาได้
ใช้แบบมีสารกันเสียวันละหลายๆหยด ตัวสารกันเสียอาจทำอันตรายต่อผิวกระจกตาได้
2. ใช้ยาที่เป็นสารน้ำเหลืองจากเลือด
(Serum) ของตัวเราเอง เรียกว่า Autologus serum ในปัจจุบันพบว่าการใช้น้ำเหลืองจากเลือดของเราเอง อาจช่วยลดการอัก
เสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆของลูกตาและต่อมน้ำตา เพราะมีสารต่อต้านเชื้อโรค
ตลอดจนสารเร่งการฟื้นตัวกลับคืนสู่ปกติของเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
3. ใช้เครื่องช่วยที่เรียกว่า
Moist chamber เป็นวัสดุคล้ายแว่นตาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูกตา
(ไม่เป็นที่นิยม และยังไม่มีจำหน่ายในบ้านเรา)
4. ภาวะตาแห้ง ขาดความสมดุลของผิวตา มักจะก่อให้เกิดการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อได้
จึงอาจต้องให้ยาหยอดตาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อได้
ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์
5. ปัจจุบันมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
(Immunosuppressant) บางชนิด เช่น ยา Cyclosporine ชนิดหยอด เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อของเนื้อเยื่อของลูกตาและของต่อมน้ำตา
เป็นต้น
6. อาหารที่มี โอเมกา 3
(Omega 3 fatty acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
อาจช่วยลดการอักเสบ ในบางคนอาจช่วยให้ภาวะตาแห้งดีขึ้นได้
7. การพยายามลดการระเหยของน้ำตาด้วยวิธีผ่าตัด
หรือ ปรับกายวิภาคของเนื้อ เยื่อส่วนต่างๆของตา เช่น
1. การทำ Punctual
plug เป็นการอุดบริเวณช่องทางที่ไหลออกของน้ำตา (Punctum) ลงสู่โพรงจมูก (อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ
กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบน้ำตา) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราว และชนิดอุดถาวร
2. Punctal cautery ใช้จี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา
ซึ่งเป็นการอุดบริเวณไหลออกของน้ำตาแบบถาวรไปเลย
3. ปัจจุบันมีการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษที่เรียก
Scleral lens ซึ่งมีความโค้งที่แตกต่างจากคอนแทคเลนส์ธรรมดา
ทำให้อุ้มน้ำตาอยู่ได้มากขึ้น
4. การเย็บเปลือกตา/หนังตา
บน-ล่าง เข้าหากันบางส่วน (Tarsorrhaphy) ในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติของเปลือกตา/หนังตา
ดูแลตนเองอย่างไร ควรพบแพทย์เมื่อไร
การดูแลตนเอง คือ เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรพบจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีตามัว เห็นภาพไม่ชัดเจน ควรต้องรีบพบจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงเสมอ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ชัดเจน เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ
การดูแลตนเอง คือ เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรพบจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีตามัว เห็นภาพไม่ชัดเจน ควรต้องรีบพบจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงเสมอ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ชัดเจน เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ
เมื่อทราบว่า
เป็นภาวะตาแห้ง การดูแลตนเอง การพบจักษุแพทย์ คือ
·
ปฏิบัติตามจักษุแพทย์
และพยาบาลแนะนำ
·
ใช้น้ำตาเทียมอย่างถูกต้องตามจักษุแพทย์/แพทย์แนะนำ
·
ป้องกัน รักษา
ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
·
ปรับพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดภาวะตาแห้ง
เช่น ในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ รู้ จักใช้แว่นตาเพื่อป้องกันแสงแดด ฝุ่นละออง
และเลิกสูบบุหรี่ เป็นต้น
·
สังเกตการใช้ยาควบคุมโรคอื่นๆ
และการใช้ยาต่างๆ ว่า มีผลต่อภาวะตาแห้งหรือ ไม่ เพื่อแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร
เพื่ออาจปรับเปลี่ยนยา
·
รู้จักวิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์
เมื่อต้องใช้คอนแทคเลนส์
·
กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน (จำกัด แป้ง หวาน เค็ม ไขมัน กินผัก ผลไม้
เพิ่มขึ้น) เพื่อลดโอกาสเซลล์ต่างๆรวมทั้งเซลล์ของลูกตา และต่อมน้ำ
ตาเสื่อมก่อนวัย
·
กินอาหารมีโอเมกา 3 อย่างพอเพียง ถึงแม้การศึกษาต่างๆยังไม่ชัดเจนว่ามีประ
โยชน์ในการรักษาหรือป้องกันภาวะตาแห้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เพราะยังไม่พบโทษจากสารอาหารชนิดนี้ อาหารที่มีโอเมกา 3 สูง
เช่น ปลาทะเล (เช่น trout, salmon, tuna, cod, mackerel, herring) และไข่ที่ผสม โอเมกา 3
·
พบจักษุแพทย์ก่อนนัด หรือ
รีบพบจักษุแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติทางตาต่อ เนื่องและไม่ดีขึ้นหลังการรักษา
โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาทางสายตา หรือ ตามัวลง
ป้องกันตาแห้งได้อย่างไร
การป้องกันภาวะตาแห้ง
คือ การหลีกเลี่ยง งด เลิก และการป้องกัน รักษา ควบคุม
สิ่งต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง ที่สำคัญ คือ
·
กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำ เสมอ
เพื่อป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของภาวะตาแห้ง
·
รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์เมื่อจะใช้คอนแทคเลนส์
·
เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
·
รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้งานคอมพิวเตอร์
·
รู้จักใช้แว่นตาเพื่อปกป้องลูกตา
Key: ตาแห้ง
แหล่งข้อมูล (Reference)
http://haamor.com/th/ตาแห้ง/#article101
http://haamor.com/th/ตาแห้ง/#article101
No comments:
Post a Comment